Sunday, September 17, 2006

คิดถึงเมืองไทยมาก...

หน้านี้ขอเขียนเป็นภาษาไทยนะ
เมื่อวานได้รับประสบการณ์ที่ทำให้คิดถึงเมืองไทยมากๆ หลังจากอยู่ออสเตรเลียมาได้หนึ่งเดือน
เราพาน้องที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันไปหาหมอที่โรงพยาบาลในเมืองลอนเชสตัน น้องเขาอาการไม่ค่อยดีก็ไปที่แผนก
ฉุกเฉินกันเพราะไปตอนเกือบทุ่ม แต่พี่ออสซี่แกให้รอก่อน จนน้องเขาอาการหนักมากยืนไม่อยู่แล้ว ถึงยอมให้ไปรอพบหมอข้างในห้อง เราน่ะ อึ้งมากๆ ว่ามันเป็นฉุกเฉินตรงไหนนี่ ให้รอซะนานที่มา
ฉุกเฉินก็เพราะอาการไม่ดีมากๆ ก็เกิดการเปรียบเที่ยบกับเมืองไทยบ้านเราล่ะ ว่าจะได้รับการเอาใจใส่มากกว่านี้แน่นอน และมีรถเข็นหรือแปลรับผู้ป่วย แต่นี่ไม่มี หรือต้องโทรเรียกรถพยาบาลแบบว่าเป็นผู้ป่วยหนักมากๆ ถึงจะได้รับบริการแบบรวดเร็ว ในที่สุดเราก็ได้ไปรอหมอที่ห้อง สักพักมีพยาบาลมาดูอาการให้ เพราะน้องเขาอาการแย่มากๆแล้ว จนหมอมาก็ได้รับการรักษาอาการดีขึ้น น้องเขาอาการดีขึ้นแต่เรานะซิเริ่มหิวข้าวแล้ว หมอรอดูอาการยังไม่บอกว่าจะต้องพักที่โรงพยาบาลหรือไม่ เวลาประมาณสี่ทุ่มกว่าเราก็หิวมากๆ ไม่มีร้านขายอาหารหรืออะไรที่เราพอจะซื้อมาทานได้ นอกจากต้องไปหยอดเงินซื้อขนม(แบบเด็กๆ) ที่ตู้หยอดเหรียญอัตโนมัติ ก็ทำให้นึกถึงเซเวนอิเลเว่นบ้านเราที่มีบริการ 24 ชั่วโมง ถ้าไม่มีใน โรงพยาบาลก็ไปหาซื้ออะไรมาทานได้ เราเริ่มเกิดความคิดเปรียบเทียบอีกล่ะ หลังจากได้รับบริการที่ไม่ค่อยประทับใจจาก เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลฝ่ายธุรการที่ไม่ได้ดูอาการคนป่วยเลย แล้วยังให้รออีกนานมากๆกว่าจะได้ไปที่พักผู้ป่วย แต่ในความที่เราคิดว่าเจออะไรที่แย่แล้วก็ยังมีสิ่งดีๆ อยู่ ต้องขอชมน้องๆและป้าๆ พยาบาลออสซี่ที่วอร์ดว่าบริการดี กว่าที่แผนกฉุกเฉินเป็นหลายเท่า ตั้งแต่พาน้องเขามาโรงพยาบาลทำให้เราได้ตั้งใจว่าจะต้องดูแลสุขภาพให้ดี จะได้ไปต้องมาที่นี่ และความคิดที่ว่า อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเหมือนอยู่บ้านรา มันผุดขึ้นมาในความคิดเราแบบไม่ทันตั้งตัวจริงๆ ....
ศิริรักษ์

1 comment:

Udom Srinon said...

ผึ้ง
ดีใจนะที่กำลังปรับตัวได้กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่นั่น เรื่องการไปหาในเวลาฉุกเฉินนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่าได้ไปที่โรงพยาบาลเป็นอันขาด เพราะเขาไม่จะ Service เรา ถ้าอาการไม่หนักมาก ต้องรอคิว ในกรณีนี้ แนะนำให้ไปหาที่ Medical Centers หรือคลินิกใกล้ๆ ที่เราพัก เราก็เคยเหตุการณ์อย่างนี้เมื่อสามเดือนก่อน มีปัญหากับหูนิดหน่อย กว่าจะได้เช็คก็เกือบสองชั่วโมง แถมค่าตรวจก็แพงมาก เขาให้ยามาทานประมาณ 1 แผง และมีบิลเรียกเก็บเงิน 220 $ เกือบแย่ ดีว่าส่งเรื่องผ่านมหาวิทยาลัยให้เขา Claim กับบริษัทประกันเอาเอง สุดท้ายมหาวิทยาลัยแนะนำว่าถ้าอาการไม่หนัก ให้ไปหาหมอแถวที่ย่านที่เราพัก ๆ จะดีกว่า โดยเฉพาะในวันเสาร์อาทิตย์ และถ้าอย่างไรพยายามใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพที่รัฐบาลจ่ายให้เรา ปีละประมาณ 330 เหรียญ
นายโดม